วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. 2550
…………………………
          พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  พ.ศ. 2550  มี  2  หมวดใหญ่  คือ
                หมวดที่  1  ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  มี  13  มาตรา คือ มาตรา 5-17
                หมวดที่  2  ว่าด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่  มี  13  มาตรา  คือ มาตรา 18-30
                               
                   ในที่นี้ขอสรุปในส่วนที่เกี่ยวข้องในระดับการใช้ของบุคคลทั่วไป  คือหมวดที่  1  ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  จะมี  13  มาตรา  คือ  มาตรา   5 -17  ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
หมวดที่  1
                มาตราที่  5  มีสาระสำคัญคือ  ผู้ใดเข้าไปใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าไปใช้โดยเฉพาะ  ต้องได้รับโทษดังนี้
                                                1.  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  6  เดือน
                                                2. ปรับไม่เกิน  10,000  บาท 
                                                3.  หรือทั้งจำทั้งปรับ
                มาตราที่  6  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ใดรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นใช้เฉพาะ  และได้นำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบ และพฤติกรรมดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น  ต้องได้รับโทษดังนี้
                                                1.  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  1  ปี
                                                2. ปรับไม่เกิน  20,000  บาท 
                                                3.  หรือทั้งจำทั้งปรับ
          มาตราที่  7  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ   ต้องได้รับโทษาดังนี้
                                                1.  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  2  ปี
                                                2. ปรับไม่เกิน  40,000  บาท 
                                                3.  หรือทั้งจำทั้งปรับ




          มาตราที่  8  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ใดกระทำโดยมิชอบด้วยการดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นทีอยู่ในระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์  และข้อมูลนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ   ต้องได้รับโทษดังนี้
                                                1.  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี
                                                2. ปรับไม่เกิน  60,000  บาท 
                                                3.  หรือทั้งจำทั้งปรับ
          มาตราที่  9  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหาย  ทำลาย  แก้ไข  เปลี่ยนแปลง  หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน  โดยมิชอบ  ต้องได้รับโทษดังนี้
                                                1.  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  5  ปี
                                                2. ปรับไม่เกิน  100,000  บาท 
                                                3.  หรือทั้งจำทั้งปรับ
          มาตราที่  10  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ใดกระทำโดยมิชอบ  ให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ  ชะลอ  ขัดขวาง  หรือถูกรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้  ต้องได้รับโทษดังนี้
                                                1.  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  5 ปี
                                                2. ปรับไม่เกิน  100,000  บาท 
                                                3.  หรือทั้งจำทั้งปรับ
          มาตราที่  11  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ใดส่งข้อมูลหรืออีเมล์ให้แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูล  ซึ่งเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยปกติสุข ต้องได้รับโทษดังนี้
                                                1.  ปรับไม่เกิน  100000  บาท 
          มาตราที่ 12  มีสาระสำคัญดังนี้  ถ้าผู้ใดกระทำผิดตามมาตรา 9 หรือ  10  ดังนี้
                                1.  ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน  ต้องได้รับโทษดังนี้
                                                1.1  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  10  ปี
                                                1.2 ปรับไม่เกิน  200,000  บาท 
                                2.  เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ  ความปลอดภัยสาธารณะ  ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ  หรือการบริการสาธารณะ    ต้องได้รับรับโทษดังนี้
                                                2.1  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่   3  ปีขึ้นไป
                                                2.2 ปรับตั้งแต่  60,000 300,000 บาท
                ถ้าเป็นการกระทำผิดตามข้อ  2  และเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องได้รับโทษดังนี้
·        ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่  10 20  ปี
มาตราที่  13  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่ทำขึ้นไว้เฉพาะเพื่อ
วัตถุประสงค์ในการนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำผิดตามมาตราที่  5, 6,7,8,9,10,และ 11 ต้องได้รับโทษดังนี้
                                                1.  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  1  ปี
                                                2. ปรับไม่เกิน  20,000  บาท 
                                                3.  หรือทั้งจำทั้งปรับ
          มาตราที่  14  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  5  ปี  หรือ  ปรับไม่เกิน  100,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
                                1.  นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นข้อมูลที่ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลเป็นเท็จ  และอาจจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
                                2.  นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นเท็จ น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
                                3.  นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ  ที่เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
                                4.  นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ  ที่เป็นลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
                                5.  เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์  ที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูล  ตามข้อ  1, 2, 3, และข้อ  4
          มาตราที่  15  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ให้บริการทางคอมพิวเตอร์  ที่จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14  ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน  ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา  14
                มาตราที่  16  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์  ที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลดังกล่าว  ที่เป็นภาพของผู้อื่น  และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น จากการตัดต่อ
เติม  หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด  ทั้งนี้น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  ถูกเกลียดชัง  หรือได้รับความอับอาย  ต้องได้รับโทษดังนี้
                                                1.  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี
                                                2. ปรับไม่เกิน  60,000  บาท 
                                                3.  หรือทั้งจำทั้งปรับ



                มาตราที่  17  มีสาระสำคัญดังนี้  ผู้ใดกระทำผิดตาม พรบ.กระทำผิดนอกราชอาณาจักร  ดังนี้
                                1.  ผู้กระทำความผิดที่เป็นคนไทย  และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรือ
                                2.  ผู้กระทำความผิดเป็นคนต่างด้าว  และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ
                                จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร

..........................................

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

รำกลมอ จังหวัดสุรินทร์

 

เรื่อง รำแกลมอ

ประวัติและความเป็นมา

ชาวกูย อพยพเข้าประเทศไทย ครั้งใหญ่ในสมัยปลายอยุธยา (พ.ศ.๒๒๔๕-๒๓๒๖) ชาวกูยมีถิ่นเดิมอยู่บริเวณตอนเหนือของเมืองกำปงธม ประเทศกัมพูชา ชาวกูย เคยเป็นรัฐอิสระ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เคยส่งทูตมาค้าขายกับอยุธยาและเคยช่วยกษัตริย์ เขมรปราบขบถ ต่อมาเขมรได้ใช้อำนาจทางทหารปราบชาวกูย และผนวกอาณาจักรเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขมร ชาวกูยชอบการอพยพ เพื่อแสวงหาที่ดินอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูก ชาวกูยอพยพขึ้นเหนือเข้าสู่เมืองอัตตะบือ-แสนแป จำปาศักดิ์ และสาละวัน ทางตอนใต้ของลาวและอพยพข้ามลำน้ำโขงเข้าสู่ภาคอีสาน ทางด้าน แก่งสะพือ อ.โขงเจียม หลังจากนั้นลูกหลานชาวกูยแยกย้ายกันไปตั้งบ้านเรือน ชาวกูยที่อพยพมา มีหัวหน้าของตัวเอง คนไทยเรียกชาวกูยว่า “เขมรป่าดง” แต่ “ชาวกูย”เรียกเรียกตัวองว่า กุย หรือ โกย ซึ่งแปลว่า “คน”ส่วนคำว่า “ส่วย” นั้น ชาวกูยเองไม่ค่อยยอมรับชื่อนี้ ปัจจุบันพบชาวกูยในจังหวัดบุรีรัมย์ อุบลราชธานี นครราชสีมา มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษและ สุพรรณบุรี) ส่วนใหญ่ชาวกูยในประเทศไทย ตั้งถิ่นฐานปนอยู่กับชาวเขมรสูง และชาวลาวทำให้ชาวกูยถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เขมรสูงและลาว บ้านของชาวกูยมีลักษณะใต้ถุนสูงด้านหน้าเอาไว้เลี้ยงช้าง ใต้ถุนใช้เป็นที่วางหูก ทอผ้าวางกระด้งไหม และวัสดุเครื่องใช้สานด้วยหวายหรือไม้ไผ่ ชาวกูยบางบ้านจะแบ่งส่วนหนึ่งที่ติดตัวบ้านเป็นยุ้งข้าว บางบ้านสร้างยังมีความสามารถในการพัฒนา เทคโนโลยีทางการผลิตเพี่อการดำรงชีวิตประจำวัน มีการจัดระเบียบทางการปกครองในชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรี ผู้มีอาวุโสที่สุดเป็นผู้มีบทบาทต่อการตัดสินผิดถูกในชุมชน ซึ่งชาวกูย เรียกว่า “โขด” ชาวกูยนิยมเลี้ยงช้าง ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ชาวกูยจะออกไปจับช้างในป่าด้วยการคล้องช้าง เรียกว่า “โพนช้าง” เป็นการจับช้างโดยหมอช้าง ใช้บ่วงมาศที่เรียกว่า “เชือกปะกำ” ทำจากหนังควายถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์คล้องเท้า ช้างแล้วผูกกับต้นไม้ และนำมาฝึกใช้งานในการคล้องช้างกระทำปีละครั้ง ราวเดือน ๑๑-๑๒ ช้างที่ตายลงจะมีการฝังอย่างดีและจะขุดกระดูกขึ้นมา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้และในชาวกูยจับช้าง(กูยตำเหร็ย) มีระบบระเบียบพิธีกรรมก่อนออกไปจับช้างอย่างเคร่งครัดโดยมีการตกลงมอบหมายอำนาจให้แต่ละคน